Month: มีนาคม 2024

อีกก้าวหนึ่งของความรัก

สิ่งใดหรือที่จะเป็นสาเหตุทำให้ใครสักคนช่วยเหลือคู่แข่ง สำหรับอดอลโฟซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารในรัฐวิสคอนซิน นี่คือโอกาสที่จะสนับสนุนเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นคนอื่นๆที่กำลังดิ้นรนปรับตัวให้เข้ากับมาตรการโควิด อดอลโฟรับรู้ถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในช่วงของการระบาดนี้ด้วยตัวเอง ด้วยการสนับสนุนอย่างเอื้อเฟื้อจากธุรกิจในท้องถิ่นอีกแห่ง อดอลโฟใช้เงินของตัวเองมากกว่าสองพันดอลล่าร์ เพื่อซื้อบัตรกำนัลมามอบให้่ลูกค้าของเขานำไปใช้ที่ร้านอาหารอื่นๆในชุมชน นี่คือการสำแดงความรักที่ไม่ได้เป็นแค่คำพูด แต่ด้วยการกระทำ

เป็นเพราะการสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเยซูทรงเต็มใจสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อมวลมนุษย์ (1 ยน.3:16) ยอห์นจึงหนุนใจผู้อ่านของท่านให้ก้าวต่อไปและสำแดงความรักด้วยการกระทำ สำหรับยอห์นแล้วการ “สละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” (ข้อ 16) หมายถึงการสำแดงความรักแบบเดียวกับที่พระเยซูได้ทรงทำเป็นแบบอย่าง และส่วนมากมักอยู่ในรูปแบบของการกระทำในชีวิตประจำวัน เช่น การแบ่งปันวัตถุสิ่งของ การรักกันด้วยคำพูดยังไม่เพียงพอ ความรักต้องประกอบด้วยการกระทำที่จริงใจและมีความหมาย (ข้อ 18)

การสำแดงความรักด้วยการกระทำอาจทำได้ยากเพราะมักจะต้องมีการเสียสละส่วนตัว หรือเราอาจต้องเสียประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า และโดยการระลึกถึงความรักอันท่วมท้นที่พระองค์ทรงมีต่อเรา เราจึงสามารถก้าวต่อไปในความรักได้

ช่วยผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้าทรงช่วยเรา

โอเล แคซซาว์เป็นชาวเมืองโคเปนเฮเกนที่รักการปั่นจักรยาน เช้าวันหนึ่งเขาเห็นชายชรานั่งอยู่คนเดียวกับอุปกรณ์ช่วยพยุงเดินในสวนสาธารณะ โอเลเกิดแรงบันดาลใจจากความคิดง่ายๆว่า ทำไมไม่ช่วยให้ผู้สูงวัยได้มีความสุขและรู้สึกอิสระโดยการพาไปนั่งจักรยานเล่า ดังนั้นในวันที่แดดดีวันหนึ่ง เขาจึงไปบ้านพักคนชราพร้อมกับรถสามล้อ(จักรยานสามล้อ) และเสนอว่าจะพาไปนั่งจักรยานเล่น เขายินดีอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่และผู้สูงอายุที่นั่นได้กลายเป็นคนกลุ่มแรกของโครงการปั่นจักรยานเพื่อคนทุกวัย

ตอนนี้ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ความฝันของโอเลที่ต้องการช่วยเหลือผู้ที่คิดถึงการปั่นจักรยานได้นำความสุขไปสู่ผู้สูงวัยกว่า 575,000 คน ซึ่งได้นั่งไปกับจักรยานสามล้อแล้วถึง 2.5 ล้านครั้ง โดยเขาจะพาผู้สูงวัยเหล่านั้นไปหาเพื่อน ไปทานไอศกรีมโคน และไป “รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านเส้นผม” ผู้เข้าร่วมบอกว่าพวกเขาหลับสบายขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น และรู้สึกเหงาน้อยลง

ของขวัญเช่นนี้ทำให้พระวจนะอันงดงามของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในอิสยาห์ 58:10-11 มีชีวิตขึ้นมา “ให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มใจ” พระองค์ตรัสกับพวกเขา “แล้วความสว่างจะโผล่ขึ้นแก่เจ้าในความมืด และความมืดคลุ้มของเจ้าจะเป็นเหมือนเที่ยงวัน” พระเจ้าทรงสัญญาว่า “พระเจ้าจะนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และให้เจ้าอิ่มด้วยของดี และกระทำให้กระดูกของเจ้าแข็ง และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เหมือนน้ำพุที่น้ำของมันไม่ขาด”

พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “สิ่งปรักหักพังโบราณของเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่” (ข้อ 12) พระองค์จะทรงทำสิ่งใดผ่านเราได้บ้าง ขณะที่พระองค์ทรงช่วยเรานั้น ขอให้เราเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

วางใจอย่างเป็นสุข

ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยรูดี้จากศูนย์พักพิงสัตว์ไม่กี่วันก่อนที่มันจะถูกทำการุณ-ยฆาต สุนัขตัวนี้จึงกลายมาเป็นเพื่อนคู่หูของเธอ เป็นเวลาสิบปีที่รูดี้นอนหลับอย่างสงบข้างเตียงของลินดา แต่จู่ๆมันกลับเริ่มกระโดดอยู่ข้างๆ และเลียหน้าของเธอ ลินดาดุมัน แต่มันกลับทำเหมือนเดิมทุกคืน “ไม่นานมันก็กระโดดมาบนตักแล้วเลียหน้าทุกครั้งที่ฉันนั่งลง” ลินดาบอก

ขณะวางแผนจะพารูดี้ไปศูนย์ฝึกสุนัข เธอเริ่มเอะใจที่รูดี้รบเร้าและมักจะเลียที่จุดเดิมบนกรามของเธอเสมอ ลินดาจึงไปพบแพทย์ด้วยความประหม่าและตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็ก (มะเร็งกระดูก) แพทย์บอกลินดาว่าถ้ารอนานกว่านี้เธออาจเสียชีวิตได้ ลินดาจึงเชื่อในสัญชาตญาณของรูดี้ และเธอมีความสุขที่ทำเช่นนั้น

พระคัมภีร์ย้ำกับเราบ่อยครั้งว่าการวางใจพระเจ้านำไปสู่ชีวิตและความชื่นชมยินดี “คนใดที่วางใจในพระเจ้าก็เป็นสุข” ผู้เขียนสดุดีกล่าว (40:4) พระคัมภีร์บางฉบับแปลชัดเจนตรงตัวว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 4 TNCV) ความสุขในพระธรรมสดุดีสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้นที่ปะทุออกมา

เมื่อเราวางใจในพระเจ้า ผลลัพธ์สูงสุดคือความสุขอันลึกซึ้งและแท้จริง ความวางใจนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและผลลัพธ์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่หากเราวางใจในพระเจ้า เราจะมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำเช่นนั้น

องค์เจ้านายในสวรรค์

ในปี 2022 กระทรวงแรงงานของประเทศสิงคโปร์ประกาศว่าแรงงานข้ามชาติที่ทำงานบ้านทุกคนต้องได้รับวันหยุดอย่างน้อยหนึ่งวันต่อเดือน ซึ่งนายจ้างไม่สามารถจ่ายเป็นเงินชดเชยแทนได้ อย่างไรก็ตาม เหล่านายจ้างมีความกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลผู้คนที่พวกเขารักในวันนั้น แม้ระบบการจัดการในงานที่เกี่ยวกับการเป็นผู้ดูแลจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดหาคนมาแทน แต่การแก้ไขทัศนคติที่ไม่เห็นความจำเป็นของการหยุดพักนั้นไม่ง่ายเลย

การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่เรื่องใหม่ อัครทูตเปาโลมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ทาสถูกมองว่าเป็นสมบัติของเจ้านาย กระนั้นในบรรทัดสุดท้ายของคำกำชับถึงคริสตจักร เกี่ยวกับวิธีการจัดการในครัวเรือนแบบพระคริสต์ ท่านบอกว่าเจ้านายจะต้องปฏิบัติต่อทาสของตนอย่าง “ยุติธรรม” (คส.4:1) ยังมีคำแปลอื่นที่บอกว่า “จงปฏิบัติต่อทาสของท่านอย่างถูกต้อง” (TNCV)

เช่นเดียวกับที่เปาโลบอกให้พวกทาสทำงาน “ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” (3:23) ท่านยังเตือนพวกเจ้านายว่าพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา “ท่านก็มีนายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย” (4:1) วัตถุประสงค์ของท่านคือหนุนใจผู้เชื่อชาวโคโลสีให้ดำเนินชีวิตโดยคำนึงว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจสูงสุด ในเวลาที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง คนในบ้าน หรือคนในชุมชน เราสามารถทูลขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเราปฏิบัติอย่าง “ยุติธรรมและสม่ำเสมอกัน” (ข้อ 1)

“เราเป็น”

แจ็คเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและวรรณคดีที่ฉลาดปราดเปรื่อง เขาประกาศตัวว่าเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าตอนอายุสิบห้าปี และในวัยผู้ใหญ่ก็ยังยืนกรานที่จะปกป้อง “ความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า” ของเขา เพื่อนคริสเตียนหลายคนพยายามโน้มน้าวเขา แต่แจ็คบอกว่า “ทุกคนและทุกสิ่งล้วนเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” แต่เขาต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์แตกต่างจากวรรณกรรมและเทพนิยายอื่นๆ เขาเขียนถึงพระกิตติคุณว่า “หากว่าเทพนิยายกลายเป็นความจริง เกิดขึ้นจริงๆก็คงจะเป็นเช่นนี้”

อพยพ 3 ได้กลายเป็นพระคัมภีร์บทที่มีอิทธิพลต่อแจ็คมากที่สุด พระเจ้าเรียกโมเสสให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสถามพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์” (ข้อ 11) พระเจ้าตรัสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” (ข้อ 14) พระธรรมตอนนี้เป็นการเล่นคำและชื่อที่ซับซ้อน แต่สะท้อนถึงการทรงสถิตอยู่นิรันดร์ของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล น่าสนใจที่ต่อมาพระเยซูก็ทรงสะท้อนสิ่งเดียวกัน เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เรา [เป็น]อยู่ก่อนอับราฮัมเกิด”(ยน.8:58)

พระธรรมตอนนี้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อแจ็ค หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ซี.เอส.- ลูอิส นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวทรงจำเป็นต้องบอก คือบอกว่าพระองค์เป็น “ผู้ซึ่งเราเป็น” ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตนั้น ลูอิส “ยอมจำนนและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า” นี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทางของลูอิสไปสู่การต้อนรับพระเยซู

บางทีเราอาจสงสัยในความเชื่อเหมือนลูอิส หรืออาจมีความเชื่อแบบอุ่นๆ ไม่เย็นไม่ร้อน เราคงต้องถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเป็น “ผู้ซึ่งเราเป็น” จริงๆในชีวิตของเราหรือไม่

ผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า

เมื่อฉันเข้าร่วมกลุ่มผู้เขียนหนังสือคริสเตียนสำหรับเด็ก ซึ่งอธิษฐานเผื่อและช่วยประชาสัมพันธ์หนังสือของกันและกัน มีบางคนบอกว่าพวกเรา “โง่เขลาที่ทำงานกับคู่แข่ง” แต่กลุ่มของเรายึดในหลักการภาวะผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และส่งเสริมชุมชน ไม่ใช่แข่งขันกัน เรามีเป้าหมายเดียวกันคือเผยแพร่พระกิตติคุณ เรารับใช้กษัตริย์องค์เดียวกันคือพระเยซู เมื่อร่วมมือกันเราจะเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์

เมื่อพระเจ้าบอกให้โมเสสเลือกผู้อาวุโสในอิสราเอลซึ่งมีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำมาเจ็ดสิบคน พระองค์ตรัสว่า “เราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง” (กดว.11:16-17) ต่อมาโยชูวาเห็นผู้อาวุโสสองคนกำลังเผยพระวจนะ จึงมาแจ้งโมเสสให้ห้ามพวกเขา โมเสสกล่าวว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนเราหรือ เราใคร่ให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และใคร่ให้พระเจ้าทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนเขาเหล่านั้น” (ข้อ 29)

เมื่อใดก็ตามที่เราจดจ่อกับการแข่งขันหรือการเปรียบเทียบซึ่งขัดขวางเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถประทานกำลังให้เราหลีกเลี่ยงการทดลองนั้น เมื่อเราทูลขอพระเจ้าให้ทรงบ่มเพาะเราที่จะมีภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงเผยแพร่พระกิตติคุณออกไปได้ทั่วโลก และยังสามารถแบ่งเบาภาระของเราเมื่อเรารับใช้พระองค์ร่วมกัน

แบ่งปันความเชื่อของคุณ

ในปีค.ศ. 1701 ศาสนจักรแห่งอังกฤษได้ก่อตั้งสมาคมเผยแพร่พระกิตติคุณเพื่อส่งมิชชันนารีไปทั่วโลก คำขวัญที่พวกเขาเลือกใช้คือ ทรานเซียนา ดิอู-วานอส (transiens adiuva nos) ซึ่งมาจากภาษาละติน แปลว่า “ขอโปรดมาช่วยเราด้วยเถิด!” นี่คือคำร้องขอที่มีต่อทูตแห่งข่าวประเสริฐมาตั้งแต่ศตวรรษแรก เมื่อผู้ติดตามพระเยซูนำคำสอนแห่งความรักและการให้อภัยของพระองค์ไปยังโลกที่ต้องการสิ่งเหล่านี้อย่างยิ่ง

“ขอโปรดมาช่วยเราด้วยเถิด!” เป็นวลีที่มาจาก “คำร้องขอของชาวมาซิโด-เนีย” ซึ่งปรากฏในกิจการ 16 เปาโลกับเพื่อนร่วมงานของท่านได้มาถึงเมืองโตรอัส ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี, ข้อ 8) ที่นั่น “เปาโลได้นิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า ‘ขอโปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าในแคว้นมาซิโดเนียเถิด’” (ข้อ 9) เมื่อได้นิมิตแล้ว เปาโลกับเพื่อนร่วมงาน “จึงหาโอกาสทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนีย” (ข้อ 10) พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของคำร้องขอนี้

ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกเรียกให้ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปประกาศ แต่เราสามารถสนับสนุนพวกเขาทางด้านการเงินและด้วยคำอธิษฐานของเรา และเราทุกคนสามารถบอกใครสักคนถึงข่าวดีเรื่องพระเยซู ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่อีกฟากของห้อง ข้างถนน หรือในชุมชน ให้เราทูลขอพระเจ้าผู้ประเสริฐของเรา ที่จะทรงช่วยให้เราสามารถก้าวออกไปและมอบความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่ผู้คน นั่นคือโอกาสที่จะได้รับการอภัยในพระนามของพระเยซู

มรดกนิรันดร์

ขณะที่พายุทรายดัสท์ โบว์พัดถล่มสหรัฐอเมริกาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ จอห์น มิลเบิร์น เดวิสซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไฮวาธา รัฐแคนซัสได้ตัดสินใจสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เดวิสเป็นเศรษฐีที่สร้างฐานะมาด้วยตนเองและไม่มีลูก เขาอาจใช้เงินเพื่อทำการกุศลหรือการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เขากลับจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของเขาเองและภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วจำนวนสิบเอ็ดรูปไว้ในสุสานท้องถิ่น

“คนในแคนซัสเกลียดผม” เดวิสบอกกับนักข่าวที่ชื่อเออร์นี่ ไพล์ ชาวเมืองต้องการให้เขาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงพยาบาล สระว่ายน้ำ หรือสวนสาธารณะ แต่เขาพูดเพียงว่า “มันเป็นเงินของผม ผมจะใช้จ่ายมันตามที่ผมพอใจ”

กษัตริย์ซาโลมอนผู้มั่งคั่งที่สุดในยุคสมัยของพระองค์ได้เขียนไว้ว่า “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน” และ “เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น” (ปญจ.5:10-11) ซาโลมอนตระหนักดีถึงแนวโน้มที่เสื่อมทรามของความมั่งคั่ง

อัครทูตเปาโลเองก็เข้าใจถึงการล่อลวงของความมั่งคั่งและเลือกที่จะลงทุนชีวิตของท่านเพื่อเชื่อฟังพระเยซู ขณะรอการประหารชีวิตในคุกโรมัน ท่านเขียนอย่างผู้มีชัยชนะว่า “เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังจะตกเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว...ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (2 ทธ.4:6-7)

สิ่งที่คงอยู่ไม่ใช่สิ่งที่เราสกัดด้วยหินหรือสะสมไว้เพื่อตัวเราเอง แต่เป็นสิ่งที่เรามอบให้แก่กันด้วยความรักและมอบให้กับพระองค์ ผู้ทรงสำแดงให้เราเห็นถึงวิธีที่จะรัก

พระเจ้าผู้เดียวที่สามารถเติมเต็ม

อาหารราคาหนึ่งพันดอลล่าร์ ซึ่งได้แก่ กุ้งขนาดใหญ่, ชาวาร์ม่า(คล้ายเคบับ), สลัด และอื่นๆอีกมากมาย ถูกจัดส่งไปที่บ้านหลังหนึ่ง แต่ชายที่เป็นเจ้าของบ้านไม่ได้มีงานเลี้ยง ที่จริงเขาไม่ได้เป็นคนสั่งชุดบุฟเฟ่ต์นี้มา แต่เป็นลูกชายวัยหกขวบของเขา เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้เป็นพ่อปล่อยให้ลูกชายเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน และเด็กชายได้ใช้โทรศัพท์เพื่อสั่งซื้ออาหารสุดหรูจากร้านอาหารหลายแห่ง “ลูกทำแบบนี้ทำไม” พ่อถามลูกชายซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มของเขา ลูกชายวัยหกขวบตอบว่า “ผมหิวครับ” ความอยากอาหารและความเป็นเด็กนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีราคาแพง

ความอยากอาหารของเอซาวทำให้เขาเสียเงินมากกว่าหนึ่งพันดอลล่าร์ ในปฐมกาลบทที่ 25 บอกว่าเอซาวเหน็ดเหนื่อยและหิวจัด เขาพูดกับน้องชายว่า “ขอให้ข้ากินของแดงนั้น ของแดงนั้นน่ะ เพราะเราหิวจัด” (ข้อ 30) ยาโคบตอบสนองโดยขอสิทธิบุตรหัวปีของเอซาว (ข้อ 31) สิทธิบุตรหัวปีนี้รวมถึงสถานะที่พิเศษของเอซาวในฐานะบุตรชายคนโต พระพรตามพระสัญญาของพระเจ้า มรดกที่มากถึงสองเท่า และสิทธิพิเศษของการเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของครอบครัว แต่เอซาวเลือกที่จะ “กินและดื่ม” และ “ดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีของตน” (ข้อ 34)

เมื่อเราถูกล่อลวงและปรารถนาบางสิ่ง แทนที่จะปล่อยให้ความอยากนำเราไปสู่ความผิดพลาดและความบาปที่มีราคาแพง ให้เรายื่นมือออกไปหาพระบิดาในสวรรค์ พระองค์ผู้เดียวคือผู้ที่เติมเต็มจิตวิญญาณที่หิวกระหาย “ด้วยของดี” (สดด.107:9) แก่เราได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา